ปกปิดอย่างมี " Style" เปิดเผยอย่างมี "รสนิยม"

วันเสาร์ที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ดวงตาน่ารู้ : อันตรายจากแสงแดด

   เวลาออกกลางแดด หลังจากทาครีมกันแดดแล้ว อย่าลืมใส่แว่นกันแดดด้วย เพราะรังสีอัลตร้าไวโอเลต ในแสงแดดก็มีผลเสียต่อตาด้วยเช่นกัน
   โลกของเรามีชั้นโอโซนในบรรยากาศช่วยกรองรังสีอัลตร้าไวโอเลต ที่มาจากดวงอาทิตย์ งานวิจัยตั้งแต่ ปี ค.ศ. 1980 พบว่าชั้นโอโซนสลายไป 3 -6 % ทุก 10 ปี โดยเฉพาะบริเวณขั้วโลกเหนือ ซึ่งเป็นผลมาจากสารคลอรีนที่เป็นมลพิษจากอุตสาหกรรมต่างๆ โดยทุก 1 % ที่ชั้นโอโซนลดลงจะเพิ่มรังสีอัลตร้าไวโอเลต – B มาถึงผิวโลก 1 % ด้วย

รังสีอัลตร้าไวโอเลตในแสงแดดประกอบด้วย 2 ส่วนคือ
  • รังสีอัลตร้าไวโอเลต – A ( ความยาวคลื่น 320 – 400 nm ) รังสีชนิดนี้มีผลทำให้สีผิวคล้ำลง , ผิวหนังเหี่ยวย่น , และเป็นสาเหตุของโรคมะเร็งผิวหนัง เมื่อเปรียบเทียบกับรังสีอัลตร้าไวโอเลต – B รังสีชนิดนี้จะมีพลังงานต่ำกว่า แต่กลับสามารถผ่านเข้าไปในชั้นลึกของลูกตาได้มากกว่า
  • รังสีอัลตร้าไวโอเลต – B ( ความยาวคลื่น 280 – 320 nm ) รังสีชนิดนี้มีผลทำให้ผิวไหม้ และก่อให้เกิดโรคมะเร็งผิวหนังได้ รังสีชนิดนี้มีพลังงานสูงกว่า และมีผลเสียมากกว่า เมื่อเปรียบเทียบกับรังสีชนิดแรก ส่วนผลที่จะเกิดต่อดวงตาก็คือรังสีนี้จะถูกดูดซึม และทำให้เกิดอันตรายต่อกระจกตาและเลนส์แก้วตา แต่มักไม่มีผลต่อจอประสาทตา
           คนทั่วไปมีความเสี่ยงต่อรังสีอัลตร้าไวโอเลตได้ แต่ผู้ที่ต้องเผชิญแสงแดดเป็นเวลานานจะมีความเสี่ยงมากกว่าปรกติ เช่น ชาวนา, ชาวประมง เป็นต้น ช่วงเวลาที่มีความเสี่ยงมากที่สุดคือ 10.00 – 16.00 น โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ได้รับรังสีที่สะท้อนออกมาจาก หิมะ , ผิวน้ำ , ทราย จะมีความเสี่ยงต่ออันตรายที่เกิดจากรังสีมากกว่าปรกติ ระดับของรังสีอัลตร้าไวโอเลตจะมีระดับสูงในบริเวณเส้นศูนย์สูตร และพื้นที่ที่อยู่ในระดับสูง
กลุ่มเสี่ยงที่รังสีอัลตร้าไวโอเลตจะทำอันตรายต่อตา เช่น
  • ผู้สูงอายุ
    ร่างกายของเรามีโมเลกุลที่ช่วยป้องกันรังสีอัลตร้าไวโอเลต ( Protective Molecule ) ซึ่งโมเลกุลพวกนี้จะลดลงตามอายุ
  • Lightly Pigmented Individuals
    ในผู้ที่มีสีม่านตาอ่อน เช่น สีฟ้า จะมีโอกาสเกิดอันตรายจากรังสีอัลตร้าไวโอเลตทำให้เกิดจอประสาทตาเสื่อมได้มากว่าผู้ที่มีสีม่านตาเข้ม
  • Aphakia
    พบว่าในผู้ป่วยที่มีต้อกระจก เลนส์แก้วตาที่ขุ่นฝ้าเป็นต้อกระจกจะช่วยกรองรังสีอัลตร้าไวโอเลตได้เป็นอย่างดี ดังนั้นผู้ป่วยที่ผ่าตัดเอาต้อกระจกออกแล้วควรจะใส่เลนส์แก้วตาเทียมที่กรองรังสีอัลตร้าไวโอเลตได้ด้วย
  • ผู้ที่ใช้ยาที่มีความไวต่อแสง ( Photosensitizing Drugs )
    ยาบางชนิดเมื่อเข้าไปในร่างกายแล้วสามารถดูดซับรังสีอัลตร้าไวโอเลตทำให้เกิดอนุมูลอิสระ ซึ่งสามารถทำลายเนื้อเยื่อได้ เช่น ยารักษาโรคผิวหนังบางชนิด, ยารักษาโรคเก๊าต์บางชนิด ถ้าสารเหล่านี้ไปสะสมที่เลนส์แก้วตา หรือจอประสาทตา จะเกิดอันตรายได้
           รังสีอัลตร้าไวโอเลตเป็นรังสีพลังงานสูงที่ตาเรามองไม่เห็น เมื่อรังสีถูกดูดซับเข้าไปจะทำให้เกิดปฏิกริยาเป็นอันตรายต่อส่วนต่างๆ ของดวงตา เช่น
  • หนังตา
    ทำให้ผิวแห้ง, เหี่ยวย่น, มะเร็งผิวหนัง
  • กระจกตา
    ถ้าโดนรังสีอัลตร้าไวโอเลตในระยะสั้นเป็นชั่วโมง บนชายหาดหรือหิมะ โดยไม่ใส่เครื่องป้องกันดวงตา จะทำให้เกิดกระจกตาอักเสบ มีอาการปวดเคือง และตามัวชั่วคราวได้ ส่วนผู้ที่ต้องได้รับรังสีอัลตร้าไวโอเลตเป็นเวลานานอยู่เป็นประจำก็จะทำให้เกิดต้อเนื้อได้
  • เลนส์แก้วตา
    รังสีอัลตร้าไวโอเลต – B จะไปทำลายโปรตีนในเนื้อเลนส์แก้วตา ซึ่งจะทำให้เกิดโรคต้อกระจกได้
  • จอประสาทตา
    รังสีอัลตร้าไวโอเลตทำให้เกิดโรคจอประสาทตาเสื่อม ( Age – Related Macular Degeneration )
การป้องกันดวงตาจากอันตรายของรังสีอัลตร้าไวโอเลต สามารถทำได้ง่ายๆ คือ
  1. สวมแว่นกันแดดในขณะที่ออกกลางแจ้ง เป็นทางเลือกที่ดีที่สุดทางหนึ่งในการป้องกันรังสีอัลตร้าไวโอเลต ควรเลือกแว่นกันแดดที่กันรังสีอัลตร้าไวโอเลตได้ 99 -100 % และกรองแสงได้ 80% แต่ไม่ควรเกิน 90 – 92 % เพราะจะทำให้มองเห็นไม่ชัด อย่าคิดว่าแว่นราคาแพง หรือแว่นที่มีสีดำเข้มจะป้องกันรังสีอัลตร้าไวโอเลตได้จริง ควรตรวจสอบดูให้ดี สำหรับผู้ที่ใช้คอนแทคเลนส์ที่กันรังสีอัลตร้าไวโอเลตได้ก็ควรจะสวมแว่นกันแดดด้วย ส่วนเด็กๆก็ควรใส่แว่นกันแดดจริงๆ ไม่ใช่แว่นกันแดดของเล่น โดยสามารถเลือกใช้เลนส์พลาสติกเพื่อป้องกันอันตรายจากการแตกหัก การเลือกแว่นกันแดดควรเลือกแบบที่มีที่ครอบด้านข้างเพื่อป้องกันรังสีอัลตร้าไวโอเลตที่เข้ามาจากด้านข้างได้
  2. สวมหมวก โดยเลือกหมวกที่มีส่วนยื่นกันแดดออกมาอย่างน้อย 3 นิ้ว จะช่วยป้องกันรังสีอัลตร้าไวโอเลตได้ 50% 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น